Breaking News
Loading...
วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

องค์ประกอบต้องพร้อมเหมือนกัน, ซึ่งหมายถึงว่าทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน, แต่อาศัยการประกอบพร้อมทั้งเหตุและปัจจัย, จึงเกิดสภาวะนั้นๆขึ้น, ที่ท่านเรียกว่าสภาวะ, หมายถึงเกิดแล้วก็ดับ, คือไม่มีอะไรที่เป็นอยู่อย่างนั้นๆได้, พระพุทธเจ้าจึงทรงเรียกว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา, บังคับควบคุมไม่ได้, เพราะไม่มีตัวตนที่จะให้บังคับหรือควบคุม, เพราะเป็นการประจวบกันของอายะตะนะภายในและภายนอกเฉยๆ, ซึ่งก็ต้องให้รู้ชัดในคำว่าเฉยๆ, คือต้องไม่มีความเห็นว่าเป็นอะไรทั้งสิ้น, เพราะทิฏฐิคือความเห็น, ซึ่งไม่ใช่ว่าจะพูดว่าดี  หรือไม่ดี, ไม่ต้องมีความเห็นทั้งนั้น, เพราะสภาวะนั้นเป็นเรื่องของมโนวิญญาณ, เป็นกิจของวิญญาณธาตุ, เป็นเรื่องของธาตุ, ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่อเข้าไปดูไปรู้ในความรู้อันนั้นสังขารจะปรุงต่อ, เป็นความมีความเป็นต่อเติมไม่สิ้นสุด, ผลที่ติดตามมาคือความยุ่งยาก, แทนที่จะอิสระจากทุกๆสิ่ง, เพราะธาตุขันธ์อายะตะนะ, สามอย่างนี้ยังคุมกันอยู่ก็จะต้องมีการสัมผัสเป็นธรรมดา, เป็นธรรมดาของเขาแท้ๆ, โดยไม่มีใครไปเกี่ยวข้อง, แม้กระทั้งความเห็นว่าเป็นหรือไม่เป็น, ถึงตรงนั้นจะรู้ชัดในคำว่า ,วิโมกข์,,คือหลุดพ้น  จากธาตุขันธ์อายตนะ, ไม่มีตัณหา, อุปาทาน, ทิฏฐิใดๆอีกเลย, จะซาบซึ้งในคำว่าสันติ, เพราะสงบจากทุกสิ่ง, ไม่มีราคะ, โทสะ, โมหะ, มานะ, ทิฏฐิ, ในอะไร, จึงเป็นความบริสุทธิ์แท้ไม่มีอะไรเป็นมลทิน, จะแจ้งในคำว่านิโรธ, พร้อมด้วย,,อริยสัจจ์,,ทั้งสี่, ทุกๆสิ่งเกิดมีขึ้นตามเหตุปัจจัยเท่านั้น, ไม่มีอะไรเป็นตัวตน, จึงไม่มีเราและของเรา, และไม่มีใครไม่มีอะไรเป็นของใคร, ทุกๆสิ่งเป็นอนัตตาเหมือนกันหมด, นั่นแหล่ะจึงเป็นหนึ่งขึ้น, ที่เรียกกันว่า, ,,นิพพาน,, ซึ่งก็คือความดับสนิทจากทุกข์ทั้งมวล, เป็นชัยชนะอย่างเด็ดขาด, ชนะในทุกโลก , ชนะในความที่จะต้อง, เกิด, แก่, เจ็บ, ตาย, ต่อไปอีก, เสรีภาพมาพร้อมกันอิสระภาพ, อันนั้นหรือสภาวะนั้นมันไม่มีอะไรที่จะต้องพูดหรือทำอะไร, แต่เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ไม่ใช่ตัวตนไรๆเลย, นั่นคือการเข้าถึงศาสนา, เข้าถึงธรรมะ, เข้าถึงธรรมชาติแท้ๆ, นั่นคือการเข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า, ส่วนสายทางอื่นที่เหนือไปยิ่งกว่านี้พระองค์ก็ทรงสอนไว้, ที่เรียกว่า, ญาณ, อภิญญา, เจโตปริยญาณ, ปฏิสัมภิทา, อนุสาสนีย์, ญาณคือความรู้ชัดในความหลุดพ้น, หลุดพ้นจากธาตุขันธ์อายตนะ, ไม่มีความเห็นว่ามีว่าเป็น, ว่ารู้และไม่รู้,  นิวรณ์ดับสิ้น, นั่นคือมรรคที่สมบูรณ์และบริบูรณ์, ผลจึงตามมาคือความรู้ชัดดังกล่าว, อภิญญาความรู้ยิ่ง, จะรู้ยิ่งในความรู้ชัดซึ่งก็คือรู้ยิ่งในกลไกลของธาตุขันธ์อายตนะ, รู้ยิ่งว่าสิ่งเหล่านี้เกิดมีเพราะเหตุปัจจัยอะไร,รู้ยิ่งว่า, วิญญาณธาตุคือธาตุรู้, ที่มีอยู่ในอายตนะทั้งหลาย, เขารู้เพราะอาศัยเหตุ, และปัจจัยอะไร, ซึ่งทั้งนี้ต้องอาศัยกำลังของอรูปฌาณ, โดยเฉพาะการทรงอยู่ได้ในอรูปฌาณที่สอง, เพราะจะทำให้รู้การเกิดดับของวิญญาณธาตุชัดเจน, จนกระทั้งเป็นความรู้ระดับ,,อภิญญา,,คือรู้ยิ่งในธาตุรู้ที่เรียกว่าวิญญาณธาตุ, ทั้งทาง, ตา, หู,  ทั้งหมด, ใช้องค์ธรรมของฌาณได้ทั้งหมด, โดยไม่ต้องเข้าตามลำดับ, จะรู้ว่าถ้าใช้กสิณในกิจนี้, ต้องกำหนดองค์ธรรมของฌาณอะไร, ซึ่งเป็นการสืบสานพระศาสนา, และคำสอนของพระพุทธองค์, ซึ่งหมายถึงเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตา, เพราะการที่จะได้รู้สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของง่าย, ถ้าไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้า, สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในคำสอนของพระองค์ครบถ้วน, ตามที่พระองค์ทรงแสดงไว้ว่า, สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ก็มีได้, สิ่งที่คิดไว้ก็เสียหายได้, ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติที่มุ่งตรงไปในธรรม, ไม่เชื่อใครแต่เชื่อ

1 ความคิดเห็น :